Starbucks เปิดร้าน Reserve แห่งใหม่ในซีแอตเทิล ขายเหล้า-เบียร์-ค็อกเทล ด้วย

Starbucks Reserve สาขาใหม่ ขายเหล้า-ขายเบียร์ร่วมด้วย

Starbucks เปิดร้าน Reserve สาขาใหม่ในเมืองซีแอตเทิล ตั้งอยู่ในรัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ความพิเศษคือ สาขานี้จะมีเหล้า เบียร์ และค็อกเทล ขายร่วมกับกาแฟด้วย

สโลแกนของสาขานี้คือ “open, marketplace style” สะท้อนถึงการเปิดกว้าง

  • ถ้าเดินเข้าไปใน Starbucks สาขานี้ คุณจะพบกับบาร์ขายเหล้าเบียร์แบบครบวงจร มีตั้งแต่ค็อกเทลอิตาเลี่ยนแบบดั้งเดิม (traditional Italian cocktails) เช่น Aperol Spritz, Milano Torino และ Negroni Sbagliato นอกจากนั้นยังมีเบียร์ท้องถิ่น (local beer) รวมถึงไวน์อีกหลากหลายรสชาติ
  • จากข้อมูล คาดการณ์ได้ว่า เหล้า เบียร์ และค็อกเทลที่จำหน่ายในร้าน จะเริ่มขายตั้งแต่ช่วงกลางวัน ไปจนถึงช่วงเย็น ส่วนช่วงเช้าน่าจะยังไม่เปิดจำหน่าย (แต่ในส่วนนี้ขึ้นอยู่กับกฎหมายของพื้นที่อีกที)

จุดเด่นที่เป็นกาแฟยังไม่หายไป เพราะในร้าน Starbucks Reserve สาขานี้จะมีกาแฟที่เป็นแบบ Nitro Draft Lattés, Bianco Mocha (เป็นกาแฟเอสเปรสโซ่รูปแบบหนึ่งของทางร้าน) แถมมี Spiced Ginger Cold Brews รวมถึงกาแฟเกรดพรีเมี่ยมรูปแบบต่างๆ ก็ยังคงมีให้บริการในร้าน Starbucks Reserve สาขานี้ยังมีอาหารหลากหลายรูปแบบให้บริการ เช่น พิซซ่า และขนมฝรั่งเศส

Starbucks Reserve สาขานี้มีขนาดประมาณ 8,100 ฟุต (ใหญ่กว่าสาขาปกติประมาณ 4 เท่า) แต่ยังเล็กกว่า Starbucks Reserve Roastery ในเซี่ยงไฮ้ ที่ใหญ่กว่าสาขาปกติ 300 เท่า และมีบาร์ยาวสุดในโลก

สำหรับรูปแบบร้าน Starbucks Reserve ทางบริษัทวางแผนจะขยายสาขาออกไปทั่วโลกให้ได้ถึง 1,000 สาขา ที่สำคัญแต่ละสาขาจะมีคอนเซปต์แตกต่างกันออกไป ไม่เหมือนกัน

อธิบายง่ายๆ คือ ถ้าเป็น Starbucks Reserve แบบ Roastery จะเน้นการขายกาแฟเกรดพรีเมี่ยมอย่างหลากหลาย ส่วนถ้าเป็นแบบที่ขายเหล้า-เบียร์ร่วมด้วยจะเรียกว่า Starbucks Reserve แบบ SODO ซึ่งตอนนี้ยังมีแค่เพียงสาขาเดียว คือที่เพิ่งในซีแอตเทิลไปเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2018 ที่ผ่านมา

  • สำหรับผู้อ่านชาวไทยที่อ่านมาถึงตรงนี้ คงจะมีคำถามคล้ายๆ กันคือ แล้วร้าน Starbucks Reserve คอนเซปต์แบบขายเหล้า-เบียร์จะมาเปิดในประเทศไทยเมื่อไหร่ ตรงนี้ตัวก็ยังตอบไม่ได้ เพราะยังไม่มีข้อมูล ต้องคอยติดตามกันต่อไป

อ้างอิงข้อมูล – StarbucksCNNMoney,  BustleHypebeast

 

ขอบคุณข้อมูลจาก Brand Inside